5/26/10
เวลา04:45น.เช้าวันพุธที่19พ.ค.2553 ผมขับรถออกจากบ้านซึ่งใกล้สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อไปขึ้นเครื่อง07:00น.ไปสิงคโปร์ ไม่วายที่จะหมุนคลื่นวิทยุฟังข่าวภาคเช้า ได้ทราบว่าทางทหารจะยึดพื้นที่คืนจากผู้ชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ ซึ่งยึดไปกว่า50วัน ท่ามกลางข่าวการยึดพื้นที่ของรัฐบาลที่ป่าวประกาศมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ลงเอยว่าไม่มีอะไรไปทุกที จนผมชินชา ต่อมาเวลา10:25น.(เวลาสิงคโปร์หรือ09:25น.เวลาไทย)เครื่องบินแตะพื้นร่อนลงสู่สนามบินนานาชาติชาวกีสิงคโปร์ผมรีบเปิดโทรศัพท์มือถือเพื่อสอบถามลูกน้องผมที่ราชาชูรส ได้ทราบว่าทหารบุกจริงในครั้งนี้ และสถานการณ์กำลังเข้มข้น แต่ในใจผมคิดว่าถึงอย่างไรสยามเป็นเมืองพุทธการเข่นฆ่ากันแบบตะวันออกกลางคงไม่เกิดขึ้น อีกทั้งคนทั้ง2ฝ่ายก็คือคนไทย เวลา12:00น.ผมโทรสอบถามอีก เหตุการณ์บานปลาย บรรดาแกนนำผู้ชุมนุมทำท่าว่าจะขอมอบตัวเพื่อให้ประชาชนได้เลิกชุมนุม ลูกน้องบอกว่าผู้ชุมนุมที่นิยมความรุนแรงหรือฮาร์ดคอร์ตามภาษามวยปล้ำไม่ยอม การชุมนุมเผาสถานที่ต่างๆก็เริ่มขึ้น โดยเฉพาะที่หนักที่สุดก็คือศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ที่ให้บรรดาผู้ชุมนุมได้ใช้พักผ่อนนอนหลับโดนเผามากที่สุดถึงกับมีการกลับมาเผาอีกรอบ ก็ไม่ทราบว่าหัวจิตหัวใจผู้ชุมนุมทำด้วยอะไร ทั้งนี้ยังมีอีกมากมายสถานที่ทั้งถูกทุบทำลาย จุดไฟเผาโดยเฉพาะบรรดาธนาคารต่างๆ โดยเฉพาะธนาคารกรุงเทพ ผมดูข่าวทางจอทีวีในห้องพักช่วงค่ำๆไม่ว่าซีเอ็นเอ็น/บีบีซีต่างเก็เสนอภาพกรุงที่มีควันพุ่งเหมือนที่เราเห็นในหนังหรือพื้นที่ในภาคตะวันออกกลาง ผมไม่โทษว่างานนี้ใครผิดใครถูก เพราะต่างคนต่างก็ทำเพื่ออุดมการณ์ที่ตัวเองเห็นว่าถูกต้อง แต่ในสิ่งที่ตามมาคือเศรษฐกิจชาติจะเลวร้ายไปถึงไหนในระยะเวลาที่ตามมา นักท่องเที่ยวไม่เข้ามา พ่อค้าแม่ค้าขายของไม่ได้ เงินทองจะหายาก ดั่งเช่นในหลวงเคยตรัส "สุดท้ายประเทศนั่นแหละคือผู้แพ้" เฮ้อ...สงสารประทศไทยจังครับ สวัสดี
5/16/10
ท่ามกลางข่าวของการสลายการชุมนุมของรัฐบาลในวันเสาร์ที่10เม.ย.และมีทีท่าว่าจะเกิดการปะทะเลือดตกยางออก ผมเดินทางขึ้นมาเชียงใหม่ในวันศุกร์และจะเดินทางลงกทม.ในค่ำวันเสาร์เพื่อต่อเครื่องไปอิตาลี ได้ยินข่าวมากมาย จนไปได้คุยกับชาวแคนาดาที่พักอยู่โรงแรมอินเตอร์คอนฯ ย่านราชประสงค์แล้วได้ยินเสียงกระซิบ จากเบลแมนของโรงแรมให้รีบเดินทางออกจากโรงแรมเร็วที่สุด เพราะหากไม่รีบเกรงจะตกเครื่องที่แกจะไปปารีส แกไม่เคยมาเมืองไทย ครั้งนี้เป็นครั้งแรก มารอเครื่องตั้งแต่สี่โมงเย็นเครื่องออกเที่ยงคืน แต่แกก็ดีใจที่เพื่อนแกอีกคู่ออกจากโรงแรมหลังแกเพียง10นาที กว่าจะมาถึงสนามบินได้ก็แทบแย่ เครื่องของผมเดินทางสู่กรุงโรม อิตาลี ทัวร์ที่ไปด้วยกันมี 26 ชีวิตครับ ซึ่งกรุ๊ปผมจากราชาเซรามิคก็15คนแล้วครับ เดินทางโดยสายการบินไทย 12ชั่วโมงต่อมาก็ถึงสนามบินฟูโอมิชิโนอิตาลี ซึ่งเวลาที่นั่นช้ากว่าไทย5ชั่วโมงครับ อากาศเย็ยๆไม่ถึงกับหนาว สถานที่แรกที่เราไปเยี่ยมชมแน่นอนว่าหนีไม่พ้น โคลอสเซียม ที่หนัง THE GLADIATOR นำมาใช้เป็นฉากผมไม่ได้มาอิตาลีประมาณ13ปีครับ แต่ที่โรมไม่เปลี่ยนมาก อาจจะเพราะเขามีกฎหมายอนุรักษ์บรรดาตึกรามบ้านช่อง ใครจะตกแต่งปรับปรุงภายในได้ แต่ภายนอกไม่ได้ เมืองไทยน่าจะทำตามในะ จากนั้นเขานำเราไปน้ำตกเทรวี่ ที่ๆซึ่งเขาบอกว่าหากเราโยนเหรียญข้ามไหล่ของเราไปยังน้ำตกจะมีโอกาสกลับมากรุงโรมอีก ผมทำทุกครั้งที่มาก็ได้กลับมาจริงๆ คนเยอะครับ รวมถึงคนไทยที่ปีนี้ใจปล้ำเทเงินกันคนละเกือบแสนมาเที่ยวยุโรปแทนที่จะพากันไปเมืองจีนดั่งเช่นปีก่อนๆ ทำเอาบรรดาบริษัททัวร์ไทยยิ้มกันแก้มแทบปริ จากนั้นพาไปทานอาหารเที่ยงมื้อแรกในต่างแดนเป็นอาหารจีน หลังอิ่มท้องพาไปเยี่ยมชมพระมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ในนครวาติกัน ที่ประทับของพระสันตะปะปาประมุขของศาสนาคริสต์ แล้วได้ไปยลโฉม บันไดสเปน ที่ๆมีร้านแบรนด์เนมมากมายคอยดูดเงินเศรษฐีที่มาเที่ยว หลังจากนั้นเดินทางไกลกว่า6ชั่วโมงสู่เมืองฟอลเรนซ์แห่งแคว้นทอสคาน่า (โดยที่ไม่ได้แวะค้างคืนที่กรุงโรม..เสียดายจัง) กว่าจะถึงก็มืดค่ำแล้ว อาหารค่ำเป็นอาหารอิตาลีอร่อยดีครับ ตื่นเช้าขึ้นมาเขาพาเราเที่ยวในเมืองที่มีโดมที่เขาว่าสวยที่สุดในยุโรป ระหว่างการเดินทางได้ถ่ายรูปพิซซ่าของแท้อิตาลีมาให้ดูกันว่ามันแตกต่างบ้านเราเพียงใด อาหารเที่ยงวันนี้เป็นอาหารอิตาลีเช่นเคย จากนั้นพาไปเมืองปิซ่าที่มีหอเอนที่ไม่ใช่หอเอียง ที่หนังไทยเรื่องตามหากาลิเลโอไปถ่ายมา แต่ก่อนหอนี้เป็นหอระฆังถึง8ใบ นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่มันเอน แต่เดี๋ยวนี้หยุดเอน เพราะใช้ทางวิทยาศาสตร์ช่วย จึงใคร่ขอจบการเล่าเรื่องไปเที่ยวยุโรปภาคแรกไว้เพียงนี้ก่อน ไว้สัปดาห์หน้าค่อยเล่าต่อ ใครยังไม่ไปดู IRON MAN 2 รีบไปดูเพราะผมว่าสนุกมากครับ สนุกกว่าภาคแรกเสียอีก...สวัสดีครับ
5/6/10
หลายสัปดาห์แล้วที่ ไม่ได้มีวาไรตี้ใหม่มาติดให้กับแฟนๆวิสต้าได้อ่านกัน ทั้งนี้และที่งนั้นก็ด้วยผมเดินทางพาพนักงานบริษัทราชาเซรามิค15ชีวิตไปเที่ยวยุโรป3ประเทศ โดยไปร่วมกับบริษัททวัร์ออกเดินทางกันตั้งแต่กลางคืนวันเสาร์ที่10เมาษายนมีกำหนด10วัน โดยจะเดินทางกลับในวันอาทิตย์ที่18เช้ามืด แต่ก่อนที่จะเล่ารายละเอียดว่าไปเที่ยวไหนกันบ้าง ต้องขอเล่าเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนให้ฟัง ผมเองเดินทางมาหลายสิบปีแล้ว หากรวมระยะทางที่บินคงไปกลับรอบโลกได้หลายรอบแล้วครับ 30กว่าปีมานี้ ทั้งนี้และทั้งนั้นเพราะผมเป็นคนชอบเดินทางทั้งทำธุระและท่องเที่ยว มาครั้งนี้ได้พบกับการที่ต้องอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศสุดท้ายในรายการเดินทางกลับ กทม. เพิ่มอีกถึง1สัปดาห์ หากคนติดตามข่าวรอบโลกช่วงวันที่17-18เมษายนนั้นมีเหตุการณ์ภูเขาไฟในไอซ์แลนด์ปะทุขึ้นควันไฟและเถ้าถ่านนั้นได้พัดสูงไปถึงระดับการบินของเครื่องบินคือ3หมื่นกว่าฟิต จึงทำให้สายการบินต่างๆในยุโรปพากัยหยุดบินเพราะกลัวว่าบรรดาเถ่าถ่านนั้นจะถูกใบพัดเครื่องดูดเข้าไปทำความเสียหายกับเครื่องยนต์จนทำให้เครื่องบินตกได้ เอาล่ะซิ นั่งนับวันกลับประเทศบ้านเกิดมาได้ยินข่าวนี้แรกๆก็คิดว่าคงปิดไม่นาน ที่ไหนได้เขาเล่นปิดน่านฟ้ากว่า1สัปดาห์ ลำพังผมเองก็คงเอาชีวิตรอดได้แต่นี่ต้องรับผิดชอบพนักงานที่เขาก็ไม่ได้มีเงินติดกระเป๋ามากมาย อีกทั้งทางบริษัททัวร์หรือแม้แต่สายการบินเขา ก็ไม่รับผิดชอบเพราะเป็นเหตุการณ์เกี่ยวกับธรรมชาติ ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ในรายการทวัร์แทบทุกบริษัทจะมีห้อยท้ายว่า..ไม่รับผิดชอบในกรณีมีการหยุดงานประท้วงหรือเหตุการณ์ดังที่กล่าว บ.ทวัร์เขาก็น่ารักครับเขายินดีจ่ายค่าห้องพักให้เพิ่มอีก1คืนนอกนั้นจ่ายเอง โรงแรมที่เขาพาไปอยู่ไม่ไกลประตูชัยเท่าใดนัก โรงแรมระดับ4ดาวราคาคืนละ100เหรียญยูโร หรือประมาณ4พัน3ร้อยบาทไทย ซึ่งก็พอรับได้ แต่หากมีกันถึง15คนคืนหนึ่งๆก็ต้องจ่าย8ห้องท่านลองคูณดู อาหารเช้ารวมกับค่าห้องส่วนอาหารมื้ออื่นๆผมก็ควักเลี้ยง จนวันที่22 เม.ย.เขาก็แจ้งกลับมาว่าผมจะได้กลับจากปารีสเที่ยวแรกของการบินไทยมาถึงไทยเช้าวันที่23 เม.ย. ส่วนกรุ๊ปกลับวันที่23ถึงไทย24 เอาไว้สัปดาห์หน้าจะขอเล่าต่อนะครับ เพราะเป็นวันที่ต้องจดจำ...สวัสดี
Subscribe to:
Posts (Atom)